การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มต้นที่อังกฤษ เพราะอังกฤษมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางอุตสาหกรรมครบถ้วน คือ มีทุน วัตถุดิบ แรงงาน และตลาดการค้า เป็นผู้นำในการปฏิวัติเกษตรกรรม (Agricultural Revolution) โดยนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาปรับปรุงการเกษตรให้พัฒนาขึ้น โดยในคริสต์ศตวรรษที่ 16 การเกษตรกรรมในอังกฤษได้ผลดีขึ้น ทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองขึ้น ประเทศมีความมั่งคั่งขึ้นใน ค.ศ. 1694 รัฐบาลจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (Bank of England) เพื่อเป็นแหล่งระดมทุนของรัฐ
การปฏิวัติอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะแรกใน ระหว่าง ค.ศ 1760-1840 เป็นระยะที่มีการประดิษฐ์เครื่องจักรช่วยในการผลิตและการปรับปรุงโรงงานอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 1861- 1865 เป็นการปรับปรุงการคมนาคมสื่อสาร ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จของอุตสาหกรรมเหล็ก และเครื่องจักรไอน้ำ
การปฏิวัติอุตสาหกรรมในระยะแรก คือ การประดิษฐ์เพื่อตอบสนอง
ค.ศ. 1733 จอห์น เคย์ (John Kay) แห่งเมืองแลงคาเชียร์ (Lancashire) ได้ประดิษฐ์กี่กระตุก (Flying Shuttle) ซึ่งช่วยให้ช่างทอผ้าสามารถผลิตผ้าได้มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า
ค.ศ. 1764 เจมส์ ฮาร์กรีฟส์ (James Hargreaves) ผลิตเครื่องปั่นด้าย (Spinning Jenny) ได้สำเร็จ
ค.ศ. 1769 ริชาร์ด อาร์กไรต์ (Richard Arkwright) ได้ปรับปรุงเครื่องปั่นด้ายให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และพัฒนาเป็นเครื่องจักรกลที่ใช้พลังน้ำหมุนแทนพลังคนเรียกว่า Water Frame ทำให้เกิดโรงงานทอผ้าตาม ริมฝั่งแม่น้ำทั่วประเทศ มีการขยายตัวทำไร่ฝ้ายในอเมริกา
ค.ศ. 1793 วิตนีย์ (Eli Whitney) สามารถประดิษฐ์เครื่องแยกเมล็ดฝ้ายออกจากใย (Cotton Gin) ได้ การพัฒนาอุตสาหกรรมการทอผ้าของอังกฤษเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19
ค.ศ. 1769 เจมส์ วัตต์ (James Watt) ชาวสกอต ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ ที่พัฒนาควบคู่กับการทอผ้า โดยใช้ขับเคลื่อนเครื่องจักรกลแทนพลังงานน้ำ ซึ่งส่งผลให้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เหมืองแร่และการ ทอผ้า ต่างใช้เครื่องจักรไอน้ำ เป็นพลังขับเคลื่อนเครื่องจักรกลทั้งสิ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก เมื่อมีการพัฒนาเครื่องจักรกลไอน้ำ ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กขยายปริมาณการผลิตได้อย่างรวดเร็ว
เฮนรี คอร์ต (Henry Cort) ชาวอังกฤษ คิดค้นวิธีการหลอมเหล็กให้มีคุณภาพดีขึ้น ก็ส่งผลให้มีการปรับปรุงคุณภาพของปืนใหญ่ ตลอดจนยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพขึ้น
ค.ศ. 1807 ชาวอังกฤษ ได้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมจำหน่ายเครื่องจักร ณ เมืองลีจ (Liege) ประเทศเบลเยียม ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในเบลเยียม แต่อย่างไรก็ตาม ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 อังกฤษยังครองความเป็นผู้นำในการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยใน ค.ศ. 1851 อังกฤษได้จัดแสดงนิทรรศการครั้งใหญ่ (Great Exhibition) แสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเหล็กของอังกฤษ
นำพลังงานไอน้ำมาขับเคลื่อนรถบรรทุกรถจักรไอน้ำจึงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมขนส่ง ที่มีชื่อเสียงมาก คือ หัวรถจักรไอน้ำ ชื่อ ร็อกเกต (ROCKET) ของจอร์จ สตีเฟนสัน (George Stephenson) ทำให้มีการเปิดบริการรถจักรไอน้ำบรรทุกสินค้าเป็นครั้งแรก ต่อมามีการดัดแปลงมารับส่งผู้โดยสาร ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเข้าสู่ยุคการใช้รถไฟ ซึ่งเป็นผล ทำให้ความเจริญขยายตัวจากเขตเมืองไปสู่ชนบท เปลี่ยนชนบทให้กลายเป็นเมือง นอกจากนี้รถไฟยังเป็นพาหนะสำคัญในการลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ และเป็นสิ่งกระตุ้นให้ยุโรปสนใจกระบวนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ฝรั่งเศสภายหลังการปฏิวัติใน ค.ศ. 1789 (French Revolution : ค.ศ. 1789) ได้หันมาสนใจปฏิวัติอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา และก้าวขึ้นเป็นคู่แข่งกับอังกฤษ
ส่วนการคมนาคมทางน้ำ ใน ค.ศ. 1807 โรเบิร์ต ฟุลตัน (Robert Fulton) ชาวอเมริกัน ประสบความสำเร็จในการนำพลังไอน้่ามาใช้กับเรือเพื่อรับส่งผู้โดยสาร ต่อมา ค.ศ. 1840 แซม มวล คูนาร์ด (Semuel Cunard) เปิดเดินเรือกลไฟแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้ภายใน 14 วัน และมีการปรับปรุงเรือกลไฟให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทางด้านรถยนต์มีการนำพลังไอน้ำมาใช้กับรถสามล้อ
ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการประดิษฐ์เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน จนถึง ค.ศ. 1857 คาร์ล เบนซ์ (Karl Benz) และ กอตต์ลีบ เดมเลอร์ (Gottlieb Daimler) สามารถนำเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินมาใช้กับรถยนต์ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์เจริญก้าวหน้าขึ้นในยุคนี้ยังได้มีการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบลูกกลิ้งขึ้นใช้ ใน ค.ศ. 1812 ทำให้การพิมพ์พัฒนาได้ปริมาณมากขึ้นและเร็วทันเหตุการณ์ หนังสือพิมพ์จึงแพร่หลาย การเผยแพร่ความรู้และ ข่าวสารก็แพร่หลายในวงกว้างขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการริเริ่มระบบไปรษณีย์ในอังกฤษ ใน ค.ศ. 1840 ทำให้การสื่อสารสะดวกรวดเร็วขึ้น ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 แซมมวล มอร์ส (Semuel Morse) ประดิษฐ์โทรเลขได้สำเร็จเป็นคนแรก ค.ศ. 1837
อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) ประดิษฐ์โทรศัพท์ได้สำเร็จ
ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีดังนี้
1. ประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และทางด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความสมบูรณ์ของอาหาร ระบบสาธารณสุขและการดูแลสุขภาพอนามัย การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการอพยพจากชนบทมาหางานทำในเมืองจนเกิดปัญหาความแออัดของประชากรในเขตเมือง
2. การก่อสร้างอาคารบ้านเรือนและสถาปัตยกรรมพัฒนาก้าวหน้ามาก
3. เกิดปัญหาสังคมต่างๆ มากมาย เช่น ชุมชนแออัด การแพร่กระจายของเชื้อโรค ปัญหาอาชญากรรม การใช้แรงงานเด็ก การเอารัดเอาเปรียบกัน ทำให้เกิดแนวคิดของลัทธิสังคมนิยม (Socialism) ของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ที่เรียกร้องให้กรรมกรรวมพลังกันเพื่อก่อการปฏิวัติโค่นล้มระบบทุนนิยม ทำให้ลัทธิสังคมนิยม มีบทบาทและอิทธิพลมากขึ้น
4. เกิดลัทธิเสรีนิยม (Liberalism) ซึ่งเป็นพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยและ แนวคิดนี้แพร่หลายกว้างขวางขึ้น ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ค.ศ. 1776 แอดัม สมิธ (Adam Smith) ได้พิมพ์งานเขียนชื่อ The Wealth of Nations เพื่อเสนอแนวคิดว่าความมั่งคั่งของประเทศจะเกิดจากระบบการค้าแบบเสรี (Laissez Faire) กล่าวได้ว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดการแบ่งค่ายระหว่างลัทธิทุนนิยมกับลัทธิสังคมนิยมอย่างเป็นรูปธรรม ต่อมาใน ค.ศ. 1889 ได้มีการประกาศให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันเมย์เดย์หรือวันแรงงานสากล (May Day) นอกจากนี้ยังทำให้เกิดวรรณกรรมแนวสัจนิยม (Realism) ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่พยายามเสนอเรื่องความเป็นจริงเบื้องหลังความสำเร็จของระบบสังคมอุตสาหกรรมที่ชนชั้นกรรมกรมีชีวิตที่ยากไร้และ ถูกเอารัดเอาเปรียบ
5.การปฏิวัติทางอุตสาหกรรมได้ขยายไปทั่วภูมิภาคต่างๆ ของโลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม การเมือง และทำให้ประเทศต่างๆ เหล่านี้มี “วัฒนธรรมร่วม” ตามตะวันตกไปด้วย
สามารถทำแบบทดสอบได้จากลิ้งนี้
https://forms.gle/cQSrSFU72H81Nezt6
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น